"จะมีใครสักกี่คน บนแผ่นดินนี้ที่ทำสิ่งใด..โดยไม่คิดถึงตัวเองจะมีใครสักกี่คน..ในวันนี้ที่จะยอมตาย..เพื่อแผ่นดินเกิด"
"ขอเตือนใจ...ไว้นะว่า
เรากำลังเพื่อลูกหลานเพื่อบ้านเมือง
เรากำลังทำเพื่อทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินนี้คิดทำสิ่งใดขอให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง"
กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.2302-2303)
สมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์พระเจ้าอลองพญาทราบเหตุว่ากรุงศรีอยุธยาผลัดแผ่นดินจึงได้ยกกองทัพเข้าตีเมืองมะริด
และเมืองตะนาวศรี หัวเมืองของกรุงศรีอยุธยา
โดยอ้างเหตุว่าให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏมอญ
เมื่อยึดได้เมืองมะริดและเมืองตะนาวศรีแล้ว
พระเจ้าลองพญาก็ได้เคลื่อนทัพผ่านทางด่านสิงขร เพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป
ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง
พระเจ้าเอกทัศน์ได้รับสั่งให้พระยายมราชคุมพลเป็นทัพหน้าออกมาต่อกรกับทัพพม่าที่ด่านสิงขร
และให้พระยารัตนาธิเบศเป็นแม่ทัพคุมพลเข้ามาตั้งรับทัพพม่า ที่เมืองกุยบุรี
ขณะนั้น ขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษชัยชาญ
เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในการรบ และคงกระพันชาตรี
เข้ามารับอาสากับไพร่สี่ร้อยคน ขอไปรบกับพม่า ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นกองอาทมาต
(หน่วยรบพิเศษ) ร่วมทัพมากับพระยารัตนาธิเบศ
ทัพของพระยายมราช
เข้าปะทะกับทัพของพม่าที่เมืองแก่งตุมด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอยรุ่นไม่เป็นขบวน
พระยารัตนาธิเบศตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ เมืองกุยบุรี แจ้งว่าทัพพม่ายกพลมาเป็นจำนวนมาก
อาจต้านทานไว้ไม่ไหว จึงสั่งการให้เกณฑ์ไพร่พล และเร่งอพยพผู้คนหลบหนีพม่า
และหวังรวบรวมผู้คนเพื่อไปตั้งมั่นรับพม่าที่ชานพระนคร ครั้งนั้น ขุนรองปลัดชู ได้อาสาขอต้านทานทัพพม่าด้วยกำลังพลเพียงสี่ร้อยนาย
เพื่อยันทัพข้าศึกและเปิดทางให้รี้พลได้หลบหนี พระยารัตนาธิเบศ
จึงได้แบ่งไพร่ให้อีกห้าร้อยนายไปช่วยกองกำลังของขุนรองปลัดชู ในการต่อต้านทัพพม่า
ณ ชายหาดหว้าขาวชายทะเล
(บ้านทุ่งหมากเม่า ตำบลอ่าวน้อย) เวลาเช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูพร้อมกับเหล่าทหาร
ตั้งท่ารอทัพพม่าอยู่ด้วยจิตใจห้าวหาญ
เมื่อเห็นกองทัพพม่าก็กรูกันออกโจมตีทัพหน้าของพม่ารบกันด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอนกัน
แทงพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก และตัวขุนรองปลัดชูท่านถือดาบสองมือ
วิ่งเข้าท่ามกลางข้าศึก ฟันพม่าล้มตายก่ายกองดั่งขอนไม้
ด้วยกำลังพลเก้าร้อยต่อทัพพม่านับหมื่นที่ยัดเยียดหนุนเนื่องกันเข้ามาต่อรบได้รบกันอยู่ตั้งแต่เข้าจนถึงเวลาเที่ยง
ขุนรองปลัดชูไม่คิดถอยหนี ต่อสู้ทัพพม่าจนเหนื่อยอ่อนสิ้นกำลัง
ถูกกองทัพพม่าใช้พลทัพช้างขับช้างเข้าเหยียบจนล้มตาย ต่างพากันถอนร่นลงทะเล จนจมน้ำทะเลตายเสียสิ้น
กองทัพพม่าจึงมีชัย พระยารัตนาธิเบศจึงได้เร่งเลิกทัพหนีมากับทัพพระยายมราช
กลับมาถึงพระนครขึ้นเฝ้ากราบทูลว่า ศึกพม่าเหลือกำลังจึงพ่าย
ฝ่ายทัพพม่าเมื่อมีชัยเหนือกองทหารเก้าร้อยคน ก็เหนื่อยอ่อนหยุดทัพพักผ่อน
ก่อนเดินทัพเข้าเมืองกุย เมืองปราณ เมืองชะอำ เมืองเพชรบุรี เมืองราชรี
เมืองสุพรรณบุรี โดยไม่มีหัวเมืองใดต่อรบกับพม่าเลย และต่อมาชาววิเศษชัยชาญ
ได้ร่วมกันสร้างวัดสี่ร้อยเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ตราบจนถึงปัจจุบัน
ในบันทึกของพม่าในกาลต่อมากล่าวว่า
การตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น ได้มีการต่อสู้กองทัพของกรุงศรีอยุธยา ที่ช่องเขาแคบๆ
ริมทะเลอย่างประจัญบาน ดุเดือด ก่อนเข้าเมืองกุย เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี
โดยง่าย
หากกองทัพกรุงศรีอยุธยา
มีคนอย่างขุนรองปลัดชู ไหนเลยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยา และหากคนประจวบคีรีขันธ์ ยังไม่รู้จักวีรกรรมที่หาดหว้าขาว
ไหนเลยวิญญาณของนักรบไทย จะได้รับการยกย่องความดี ความกล้า ความเสียสละต่อชาติ
ต้องไม่ถูกลืม ขอยกย่องวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ณ ดินแดนเมืองประจวบคีรีขันธ์
บันทึกในพงศาวดาร
แผนที่เส้นทางการเดินทัพของกองทัพพม่าในสงครามพระเจ้าอลองพญาเรื่องราวของขุนรองปลัดชูมีกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเพียงสั้นๆ
ดังนี้ (ในที่นี้เน้นด้วยการขีดเส้นใต้)
...ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสทราบนั้นแล้ว
จึงดำรัสให้พระยายมราชเป็นทัพหน้า พลทหาร ๓๐๐๐ ทัพหนึ่ง
ให้พระยาธารมาถืออาญาเป็นแม่ทัพ พลทหาร ๒๐๐๐ ยกไปตั้งเมืองกุยบุรี
พะม่ายกขึ้นมาตีทัพพระยายมราชณแกงตุมแตก พระยาธารมาจึงเกณฑ์ไพร่ ๕๐๐
เข้าบรรจบกองปลัดชู แล้วให้ยกไปตั้งตำบลอ่าวขาวริมทะเล ฝ่ายทัพหน้าพะม่ายกขึ้นมาตี
กองปลัดชูก็แตกพ่าย พระเจ้าอังวะจึงดำเนินทัพเข้ามาณเมืองกุย เมืองปราณ
เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี...
— พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
...ม้าใช้รีบออกไปสืบราชการดู
มากราบทูลว่า พม่ายกมาทางมะริด ๑ ทางท่ากระดาน ๑ ทางเชียงใหม่ ๑
ที่จริงนั้นพม่ายกมาแต่ข้าง มะริดทางเดียว พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงทราบแน่ ก็ตกพระทัย
ด้วย มิได้มีวิจารณ์พระเชาวญาณ ก็พาลเขลาทรงเชื่อเอาทั้ง ๓ ทาง จึ่ง
ดำรัสสั่งให้พระยาพิชัยสงคราม นามชื่อปลัดชู พระจุฬา หลวงศรียศ หลวงราชพิมล
ขุนศรีวรคัณฑ์ ๕ คน คุมพล ๕,๐๐๐ ออกไปต้านทานข้างมะริดก่อน
แล้วเกณฑ์พระยาราชสงคราม พระยาไชยา พระยามหาเสนา พระยาเพชรพิชัย พระยาสมบัติธิบาล
พระยาตะนาว พระยาพัทลุง หลวงกระ ๘ คนนี้คุมพล คนละ ๑,๐๐๐ แล้วให้พระยาอภัยราชาถืออาชญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพ
ยกไปรับทางเชียงใหม่ แล้วเกณฑ์ทิพเสนา ราชามาตย์ ทิพรักษา ราชาบาล วิสูตโยธามาตย์
ราชโยธาเทพ หลวงศักดิ์ หลวงสิทธิ หลวงฤทธิ หลวงเดช ๑๐ คน คุมพลคนละ ๑,๐๐๐ ให้พระยาอภัยมนตรีเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปจุกไว้ทางท่ากระดาน
ครั้นทรงทราบว่าทางมะริดพม่ายกมามาก ก็ให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพหน้า คุมพล ๒๐๐๐๐
ให้พระยาธรมาถืออาชญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพ พลทหาร ๓๐๐๐ ยกเพิ่มเติมไปตั้ง ณ
เมืองกุยบุรี พม่ายกขึ้นมาตีทัพพระยายมราช ณ แก่งตุ่มแตก แล้วยกแยกไปตีกองปลัดชู
ซึ่งตั้งอยู่ตำบลอ่าวขาวริมทะเล จึ่งแบ่งไพร่ ๕๐๐ ไปช่วยกองปลัดชู
รบกันอยู่ประมาณกึ่งวัน กองปลัดชูก็แตกพ่ายมา พระเจ้าอังวะก็ดำเนินทัพเข้ามา ณ
แขวงเมืองกุยบุรี เมืองปรานบุรี...
— พระราชพงศาวดารกรุงสยาม
ฉบับบริติชมิวเซียม
เพลงคนดีไม่วันตาย
แม้ไม่มีใครรู้แต่เรารู้รู้ว่าเรานั้น ทำเพื่อใครไม่ว่าวันพรุ่งนี้
มันจะเป็นเช่นไรก็จะไม่เสียใจ กับสิ่งที่เราได้ทำฟ้าและดินไม่เห็น
ไม่เป็นไรไม่ได้หวังให้ใครจดจำแม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นซักคำไม่มีใครจดจำ
แต่เราก็ยังภูมิใจจะปิดทองหลังองค์พระปฏิมาจะยอมรับโชคชะตา
ไม่ว่าดีร้ายไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
ถึงเวลาก็ต้องไปเหลือไว้แต่คุณงามความดีขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใดแม้แต่ลมหายใจ
ก็ยอมพลีโลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดีศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี
คนดีไม่มีวันตาย...
"ขอเตือนใจ...ไว้นะว่า
เรากำลังเพื่อลูกหลานเพื่อบ้านเมือง
เรากำลังทำเพื่อทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินนี้คิดทำสิ่งใดขอให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง"
กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.2302-2303)
สมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์พระเจ้าอลองพญาทราบเหตุว่ากรุงศรีอยุธยาผลัดแผ่นดินจึงได้ยกกองทัพเข้าตีเมืองมะริด
และเมืองตะนาวศรี หัวเมืองของกรุงศรีอยุธยา
โดยอ้างเหตุว่าให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏมอญ
เมื่อยึดได้เมืองมะริดและเมืองตะนาวศรีแล้ว
พระเจ้าลองพญาก็ได้เคลื่อนทัพผ่านทางด่านสิงขร เพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป
ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาทราบเรื่อง
พระเจ้าเอกทัศน์ได้รับสั่งให้พระยายมราชคุมพลเป็นทัพหน้าออกมาต่อกรกับทัพพม่าที่ด่านสิงขร
และให้พระยารัตนาธิเบศเป็นแม่ทัพคุมพลเข้ามาตั้งรับทัพพม่า ที่เมืองกุยบุรี
ขณะนั้น ขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษชัยชาญ
เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในการรบ และคงกระพันชาตรี
เข้ามารับอาสากับไพร่สี่ร้อยคน ขอไปรบกับพม่า ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นกองอาทมาต
(หน่วยรบพิเศษ) ร่วมทัพมากับพระยารัตนาธิเบศ
ทัพของพระยายมราช เข้าปะทะกับทัพของพม่าที่เมืองแก่งตุมด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอยรุ่นไม่เป็นขบวน พระยารัตนาธิเบศตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ เมืองกุยบุรี แจ้งว่าทัพพม่ายกพลมาเป็นจำนวนมาก อาจต้านทานไว้ไม่ไหว จึงสั่งการให้เกณฑ์ไพร่พล และเร่งอพยพผู้คนหลบหนีพม่า และหวังรวบรวมผู้คนเพื่อไปตั้งมั่นรับพม่าที่ชานพระนคร ครั้งนั้น ขุนรองปลัดชู ได้อาสาขอต้านทานทัพพม่าด้วยกำลังพลเพียงสี่ร้อยนาย เพื่อยันทัพข้าศึกและเปิดทางให้รี้พลได้หลบหนี พระยารัตนาธิเบศ จึงได้แบ่งไพร่ให้อีกห้าร้อยนายไปช่วยกองกำลังของขุนรองปลัดชู ในการต่อต้านทัพพม่า
ทัพของพระยายมราช เข้าปะทะกับทัพของพม่าที่เมืองแก่งตุมด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอยรุ่นไม่เป็นขบวน พระยารัตนาธิเบศตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ เมืองกุยบุรี แจ้งว่าทัพพม่ายกพลมาเป็นจำนวนมาก อาจต้านทานไว้ไม่ไหว จึงสั่งการให้เกณฑ์ไพร่พล และเร่งอพยพผู้คนหลบหนีพม่า และหวังรวบรวมผู้คนเพื่อไปตั้งมั่นรับพม่าที่ชานพระนคร ครั้งนั้น ขุนรองปลัดชู ได้อาสาขอต้านทานทัพพม่าด้วยกำลังพลเพียงสี่ร้อยนาย เพื่อยันทัพข้าศึกและเปิดทางให้รี้พลได้หลบหนี พระยารัตนาธิเบศ จึงได้แบ่งไพร่ให้อีกห้าร้อยนายไปช่วยกองกำลังของขุนรองปลัดชู ในการต่อต้านทัพพม่า
ณ ชายหาดหว้าขาวชายทะเล
(บ้านทุ่งหมากเม่า ตำบลอ่าวน้อย) เวลาเช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูพร้อมกับเหล่าทหาร
ตั้งท่ารอทัพพม่าอยู่ด้วยจิตใจห้าวหาญ
เมื่อเห็นกองทัพพม่าก็กรูกันออกโจมตีทัพหน้าของพม่ารบกันด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอนกัน
แทงพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก และตัวขุนรองปลัดชูท่านถือดาบสองมือ
วิ่งเข้าท่ามกลางข้าศึก ฟันพม่าล้มตายก่ายกองดั่งขอนไม้
ด้วยกำลังพลเก้าร้อยต่อทัพพม่านับหมื่นที่ยัดเยียดหนุนเนื่องกันเข้ามาต่อรบได้รบกันอยู่ตั้งแต่เข้าจนถึงเวลาเที่ยง
ขุนรองปลัดชูไม่คิดถอยหนี ต่อสู้ทัพพม่าจนเหนื่อยอ่อนสิ้นกำลัง
ถูกกองทัพพม่าใช้พลทัพช้างขับช้างเข้าเหยียบจนล้มตาย ต่างพากันถอนร่นลงทะเล จนจมน้ำทะเลตายเสียสิ้น
กองทัพพม่าจึงมีชัย พระยารัตนาธิเบศจึงได้เร่งเลิกทัพหนีมากับทัพพระยายมราช
กลับมาถึงพระนครขึ้นเฝ้ากราบทูลว่า ศึกพม่าเหลือกำลังจึงพ่าย
ฝ่ายทัพพม่าเมื่อมีชัยเหนือกองทหารเก้าร้อยคน ก็เหนื่อยอ่อนหยุดทัพพักผ่อน
ก่อนเดินทัพเข้าเมืองกุย เมืองปราณ เมืองชะอำ เมืองเพชรบุรี เมืองราชรี
เมืองสุพรรณบุรี โดยไม่มีหัวเมืองใดต่อรบกับพม่าเลย และต่อมาชาววิเศษชัยชาญ
ได้ร่วมกันสร้างวัดสี่ร้อยเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ตราบจนถึงปัจจุบัน
ในบันทึกของพม่าในกาลต่อมากล่าวว่า
การตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น ได้มีการต่อสู้กองทัพของกรุงศรีอยุธยา ที่ช่องเขาแคบๆ
ริมทะเลอย่างประจัญบาน ดุเดือด ก่อนเข้าเมืองกุย เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี
โดยง่าย
หากกองทัพกรุงศรีอยุธยา มีคนอย่างขุนรองปลัดชู ไหนเลยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยา และหากคนประจวบคีรีขันธ์ ยังไม่รู้จักวีรกรรมที่หาดหว้าขาว ไหนเลยวิญญาณของนักรบไทย จะได้รับการยกย่องความดี ความกล้า ความเสียสละต่อชาติ ต้องไม่ถูกลืม ขอยกย่องวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ณ ดินแดนเมืองประจวบคีรีขันธ์
หากกองทัพกรุงศรีอยุธยา มีคนอย่างขุนรองปลัดชู ไหนเลยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยา และหากคนประจวบคีรีขันธ์ ยังไม่รู้จักวีรกรรมที่หาดหว้าขาว ไหนเลยวิญญาณของนักรบไทย จะได้รับการยกย่องความดี ความกล้า ความเสียสละต่อชาติ ต้องไม่ถูกลืม ขอยกย่องวีรกรรมของขุนรองปลัดชู ณ ดินแดนเมืองประจวบคีรีขันธ์
บันทึกในพงศาวดาร |
แผนที่เส้นทางการเดินทัพของกองทัพพม่าในสงครามพระเจ้าอลองพญาเรื่องราวของขุนรองปลัดชูมีกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเพียงสั้นๆ
ดังนี้ (ในที่นี้เน้นด้วยการขีดเส้นใต้)
...ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสทราบนั้นแล้ว
จึงดำรัสให้พระยายมราชเป็นทัพหน้า พลทหาร ๓๐๐๐ ทัพหนึ่ง
ให้พระยาธารมาถืออาญาเป็นแม่ทัพ พลทหาร ๒๐๐๐ ยกไปตั้งเมืองกุยบุรี
พะม่ายกขึ้นมาตีทัพพระยายมราชณแกงตุมแตก พระยาธารมาจึงเกณฑ์ไพร่ ๕๐๐
เข้าบรรจบกองปลัดชู แล้วให้ยกไปตั้งตำบลอ่าวขาวริมทะเล ฝ่ายทัพหน้าพะม่ายกขึ้นมาตี
กองปลัดชูก็แตกพ่าย พระเจ้าอังวะจึงดำเนินทัพเข้ามาณเมืองกุย เมืองปราณ
เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี...
— พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
...ม้าใช้รีบออกไปสืบราชการดู
มากราบทูลว่า พม่ายกมาทางมะริด ๑ ทางท่ากระดาน ๑ ทางเชียงใหม่ ๑
ที่จริงนั้นพม่ายกมาแต่ข้าง มะริดทางเดียว พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงทราบแน่ ก็ตกพระทัย
ด้วย มิได้มีวิจารณ์พระเชาวญาณ ก็พาลเขลาทรงเชื่อเอาทั้ง ๓ ทาง จึ่ง
ดำรัสสั่งให้พระยาพิชัยสงคราม นามชื่อปลัดชู พระจุฬา หลวงศรียศ หลวงราชพิมล
ขุนศรีวรคัณฑ์ ๕ คน คุมพล ๕,๐๐๐ ออกไปต้านทานข้างมะริดก่อน
แล้วเกณฑ์พระยาราชสงคราม พระยาไชยา พระยามหาเสนา พระยาเพชรพิชัย พระยาสมบัติธิบาล
พระยาตะนาว พระยาพัทลุง หลวงกระ ๘ คนนี้คุมพล คนละ ๑,๐๐๐ แล้วให้พระยาอภัยราชาถืออาชญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพ
ยกไปรับทางเชียงใหม่ แล้วเกณฑ์ทิพเสนา ราชามาตย์ ทิพรักษา ราชาบาล วิสูตโยธามาตย์
ราชโยธาเทพ หลวงศักดิ์ หลวงสิทธิ หลวงฤทธิ หลวงเดช ๑๐ คน คุมพลคนละ ๑,๐๐๐ ให้พระยาอภัยมนตรีเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปจุกไว้ทางท่ากระดาน
ครั้นทรงทราบว่าทางมะริดพม่ายกมามาก ก็ให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพหน้า คุมพล ๒๐๐๐๐
ให้พระยาธรมาถืออาชญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพ พลทหาร ๓๐๐๐ ยกเพิ่มเติมไปตั้ง ณ
เมืองกุยบุรี พม่ายกขึ้นมาตีทัพพระยายมราช ณ แก่งตุ่มแตก แล้วยกแยกไปตีกองปลัดชู
ซึ่งตั้งอยู่ตำบลอ่าวขาวริมทะเล จึ่งแบ่งไพร่ ๕๐๐ ไปช่วยกองปลัดชู
รบกันอยู่ประมาณกึ่งวัน กองปลัดชูก็แตกพ่ายมา พระเจ้าอังวะก็ดำเนินทัพเข้ามา ณ
แขวงเมืองกุยบุรี เมืองปรานบุรี...
— พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม
— พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม
เพลงคนดีไม่วันตาย
แม้ไม่มีใครรู้แต่เรารู้รู้ว่าเรานั้น ทำเพื่อใครไม่ว่าวันพรุ่งนี้
มันจะเป็นเช่นไรก็จะไม่เสียใจ กับสิ่งที่เราได้ทำฟ้าและดินไม่เห็น
ไม่เป็นไรไม่ได้หวังให้ใครจดจำแม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นซักคำไม่มีใครจดจำ
แต่เราก็ยังภูมิใจจะปิดทองหลังองค์พระปฏิมาจะยอมรับโชคชะตา
ไม่ว่าดีร้ายไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
ถึงเวลาก็ต้องไปเหลือไว้แต่คุณงามความดีขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใดแม้แต่ลมหายใจ
ก็ยอมพลีโลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดีศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี
คนดีไม่มีวันตาย...